วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

คำซ้ำ


คำซ้ำ

คำซ้ำ  คือ  คำที่เกิดจากการซ้ำเสียงคำเดียวกันตั้งแต่ ๒ หน ขึ้นไป เพื่อทำให้เกิดคำใหม่ได้ความหมายใหม่  เช่น ดำ ๆ  หวาน ๆ  คอยค้อยคอย

ชนิดของคำไทยที่เอามาซ้ำกัน ในภาษาไทยเราสามารถเอาคำทุกชนิดมาซ้ำได้  ดังนี้
๑.  ซ้ำคำนาม  เช่น    พี่ๆ  น้องๆ  เด็กๆ
๒.  ซ้ำคำสรรพนาม  เช่น    เขาๆ  เราๆ  คุณๆ 
๓.  ซ้ำคำวิเศษณ์  เช่น    เร็วๆ  ไวๆ  ช้าๆ
๔.  ซ้ำคำกริยา  เช่น    เดินๆ  นั่งๆ  นอนๆ 
๕.  ซ้ำคำบุพบท  เช่น    บนๆ  ล่างๆ  ใกล้ๆ  ไกลๆ 
๖.  ซ้ำคำสันธาน  เช่น    ทั้งๆ  เหมือนๆ 
๗.  ซ้ำคำอุทาน  เช่น  โฮๆ  กรี๊ดๆ  อุ้ยๆ

ชนิดของการซ้ำคำในภาษาไทย
                ๑.  ซ้ำคำเดียวกัน  ๒  หน  ระดับเสียงวรรณยุกต์คงเดิม  เช่น  เร็ว ๆ  หนุ่ม ๆ  หนัก ๆ  เบา ๆ
๒.  ซ้ำคำเดียวกัน  ๒  หน  โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า
                 เช่น  ว้านหวาน   นักหนัก    จ๊นจน    อร้อยอร่อย
๓.    ซ้ำคำเดียวกัน  ๓  หน  โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่พยางค์หลังของคำหน้า 
                                เช่น  จืดจื๊ดจืด   สวยซ้วยสวย 
                ๔.  ซ้ำคำประสม  ๒  พยางค์  ๒  หน โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่พยางค์หลังของคำหน้า 
                                เช่น  เจ็บใจ๊เจ็บใจ  ดีใจ๊ดีใจ  ยินดี๊ยินดี
๕.  ซ้ำคำเดียวกัน  ๒  หน  ระดับเสียงวรรณยุกต์คงเดิม แต่การกร่อนเสียงขึ้น
                อย่างที่บาลี  เรียกว่า  อัพภาส  และสันสกฤต  เรียกว่า  อัภยภาส  เช่น  ลิ่ว ๆ เป็น  ละลิ่ว 
ครืน ๆ  เป็น  คระครืน  ซึ่งโดยมากใช้คำประพันธ์

ลักษณะความหมายของคำซ้ำ
                ๑.  บอกความหมายเป็นพหูพจน์ มักเป็นคำนาม และสรรพนาม 
                                เช่น  เด็ก ๆ กำลังร้องเพลง     พี่ ๆ โรงเรียน    หนุ่ม ๆ กำลังเล่นฟุตบอล
                ๒.  บอกความหมายเป็นเอกพจน์  แยกจำนวนออกเป็นส่วน ๆ มักเป็นคำลักษณนาม 
                                เช่น  ล้างชามให้สะอาดเป็นใบ ๆ    อ่านหนังสือเป็นเรื่อง ๆ    ไสกบไม้เป็นแผ่น ๆ
                ๓.   เน้นความหมายของคำเดิม มักเป็นคำวิเศษณ์  เช่น  พูดดัง ๆ   ฟังดี ๆ   นั่งนิ่ง ๆ
                               ถ้าต้องการเน้นให้เป็นจริงเป็นจังอย่างมั่นใจมากขึ้น  เราก็เน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า 
                                เช่น เสียงดั๊งดัง    พูดดี๊ดี    ตัวด้ำดำ
                ๔.  ลดความหมายของคำเดิม มักเป็นคำวิเศษณ์บอกสี  เช่น  เสื้อสีแดง ๆ    กางเกงสีดำ ๆ   บ้านสีขาว ๆ
                ๕.  บอกความหมายโดยประมาณ ทั้งที่เกี่ยวกับเวลา และสถานที่ ดังนี้
                   ก.  บอกเวลาโดยประมาณ  เช่น      สมศรีชอบเดินเล่นเวลาเย็น ๆ  
                                                                                           เขาตื่นเช้า ๆ เสมอ  
                                                                                      น้ำค้างจะลงหนักเวลาดึก ๆ
                                ข.  บอกสถานที่โดยประมาณ  เช่น  มีร้านหนังสือแถว ๆ สี่แยก
  รถคว่ำกลาง ๆ สะพาน
  ต้นประดู่ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน
                ๖.  บอกความหมายสลับกัน  เช่น  เขาเดินเข้า ๆ ออก ๆ  อยู่ตั้งนานแล้ว   ฉันหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน
                ๗.  บอกความหมายเป็นสำนวน  เช่น  งู ๆ ปลา ๆ  (ไม่รู้จริงรู้นิดหน่อย)
                                                                                      ดี ๆ ชั่ว ๆ  (ดีร้าย)
                                                                                      ไป ๆ มา ๆ  (ในที่สุด)
                                                                                      ถู ๆ ไถ ๆ  (แก้ข้อขัดข้องพอให้ลุล่วงไปได้)


๘.    บอกความหมายแสดงการเปรียบเทียบขั้นปกติ  ขั้นกว่า และขั้นสุด  เช่น

ขั้นปกติ
ขั้นกว่า
ขั้นสุด
เชย ๆ
เชย
เช้ยเชย
หลวม ๆ
หลวม
ล้วมหลวม
เบา ๆ
เบา
เบ๊าเบา

                การสร้างคำแบบคำประสม  คำซ้อนและคำซ้ำ  นี่เป็นวิธีการสร้างคำที่เป็นระเบียบวิธีของภาษาไทยของเราเอง  แต่การสร้างคำใหม่ในภาษาไทยไม่ได้พียง  ๔  วิธี เท่านั้น  เรายังมีวิธีการสร้างคำใหม่ ๆ ขึ้นใช้ในภาษาไทยด้วยวิธีการ
อื่น ๆ อีก



(คัดจากหนังสือหลักภาษา และการใช้ภาษา  ประสิทธิ์  กาพย์กลอน  และคณะ  สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๒๓)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น